รู้จักแครนเบอร์รี่สกัดเข้มข้น Cranberry PAC 36 กับการป้องกันภูมิแพ้
Cranberry และ แครนเบอร์รี่ คือ ผลไม้ผลสีแดงสดในตระกูลเบอร์รี่ โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vaccinium macrocarpon ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาในแถบทางเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วทวีปยุโรป โดยมีลักษณะเป็นไม้พุ่มแคระ ต้นมีลักษณะเป็นเถา ไม่สูง มีดอกสีขาว ผลสีแดง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในผลไม้ตระกูบเบอรี่ที่ได้รับความนิยมนำมาสกัดเพื่อทำเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
Cranberry (หรือ แครนเบอร์รี่) มีสารที่สำคัญ ๆ อะไรบ้าง?
วิตามินต่าง ๆ ประกอบด้วย วิตามินซี , วิตามินอี , วิตามินเค
แร่ธาตุแมงกานีส และแร่ธาตุทองแดง
สารต้านอนุมูลอิสระ เควอซิทิน (Quercetin) พีโอนิดิน (Peonidin) ไมริซิทัน (Myricetin) กรดเออร์โซลิก (Ursolic Acid และโปรแอนโทซานิดิน ชนิดเอ (A-Type Proanthocyanidins)
กรดซาลิคไซลิก (Salicylic Acid)
Cranberry (หรือ แครนเบอร์รี่) มีประโยชน์อะไรบ้าง?
1.ป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ผู้หญิงที่มักจะป่วยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชอบกลั้นปัสสาวะบ่อย ๆ กินน้ำน้อย เวลาเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบก็จะมีอาการเจ็บ แสบขัดปัสสาวะ จากการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธ์ กับผลการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะพบว่า Cranberry และ แครนเบอร์รี่ สามารถช่วยลดอัตราการติดเชื้อได้สูงถึง 50% ช่วยป้องกันการยึดเกาะของแบคทีเรียกับเนื้อเยื่อในร่างกาย จึงนำไปใช้เพื้อรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ระบุว่า การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ 30 มิลลิลิตร จะช่วยลดจำนวนของแบคทีเรียในปัสสาวะลง และป้องกันการติดเชื้อแบคในกระเพาะปัสสาวะได้ดี เพราะผลไม้ชนิดนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียจึงช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ติดเชื้อในท่อปัสสาวะ ขจัดกลิ่นปัสสาวะได้ดี
2.ยับยั้งเชื้ออีโคไล(ท้องร่วง)
การรับประทานแครนเบอร์รี่ ยังช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเชื้อแบคทีเรียอีโคไล หรือเชื้อที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง โดยได้มีรายงานว่าผู้หญิงที่ได้รับสารสกัดจากแครนเบอร์รี่อย่างต่อเนื่อง จะช่วยยับยั้งการยึดเกาะตัวของเชื้ออีโคไลได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับสารสกัดจากแครนเบอร์รี่
3.เสริมสร้างภูมิต้านทาน
Cranberry หรือแครนเบอร์รี่นั้น อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูงและยังประกอบไปด้วยสารพฤกษเคมีที่ออกฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Catechins, Quinic acid , Hippuric acid , Proanthocyanidins, triterpenoids, และ Tannin จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม และยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่มันมากับอากาศได้เป็นอย่างดี
4.ลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ
ช่วยป้องกันมะเร็งและต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย มีรายงานทางการแพทย์มากมายเกี่ยวกับการบริโภคแคลนเบอร์รี่ว่าสามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมากและอื่น ๆ ได้อีกมากมาย โดยสารประกอบฟลาโวนอยด์ จะเป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสาร Proanthocyanidins สามารถยับยั้งกลไกการเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหลายกลไก และพบว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะนำไปพัฒนาเป็นยาต้านมะเร็งต่อไป และยังมีผลในการทำลายเซลล์มะเร็งรังไข่ได้โดยสาร Proanthocyanidins จะเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตายลง หรือเมื่อร่วมกับยารักษามะเร็งรังไข่ ก็จะไปช่วยเสริมฤทธิ์ยาในการลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง การรับประทานแครนเบอร์รี่สามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมในสัตว์ทดลองได้ Proanthocyanidins ที่พบได้มากในผลแครนเบอร์รี่ สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนส์มะเร็งและนำไปสู่การตายของเซลล์มะเร็งปอด
5.ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
สาร Proanthocyanidins ในผลแครนเบอร์รี่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวในและหลอดเลือด Cranberry และ แครนเบอร์รี่ ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Anthocyanin , Flavonids , Proanthocyanidins) โดยที่ Flavonoids จะไปยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันเลว ทำให้ป้องกันการเกิด Oxidized LDL ซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเลือดตีบและอุดตันได้
6.ช่วยลดการเกิดไขมันเลวในเลือด
ไขมันเลวที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระจากผลแครนเบอร์รี่ สามารถเหนี่ยวนำให้ตัวรับไขมันเลว ที่ตับทำงานมากขึ้น ส่งผลทำให้เพิ่มการขับออกของไขมันเลวจากระบบไหลเวียนของเลือด และเพิ่มการนำคอเลสเตอรอลเข้าสู่เซลล์ตับเพื่อขับออกได้ จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
7.ลดเลือนริ้วรอยช่วยชะลอความแก่ให้กับผู้หญิง
แครนเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูงอุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์นั้น ช่วยกระตุ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจนและฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิว ให้กลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้งจึงช่วยให้ผิวของเรากลับมาเต่งตึง ช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่น เกลี้ยงเกลา ผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังได้อีกด้วย
8.ลดการเกิดสิว
ด้วยสาร Rexveratrol (เรสเวอราทรอล) ที่พบในแครนเบอร์รี่เปรียบเสมือนยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวจึงทำให้การรับประทานแครนเบอร์รี่เป็นประจำ ช่วยลดการเกิดสิวใหม่ และช่วยลดการอักเสบของสิวอ
9.ผิวเรียบเนียนกระจ่างใส
วิตามินซีที่อยู่ใน Cranberry และ แครนเบอร์รี่ นอกจากจะช่วยในการป้องกัน และลดความรุนแรงของอาการหวัด และยังช่วยให้ผิวพรรณของเราดูเรียบเนียน และกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากจะมีวิตามินซีแล้วในสารสกัดแครนเบอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินอี ที่เป็นตัวแอนตีออกซิแดนท์ (Antioxidant) มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระอันก่อให้เกิดความเสียหายในเซลล์ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของริ้วรอยที่ดูแก่ก่อนวัย โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่าการได้รับวิตามินอี ที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันและซ่อมแซมการสึกหรอของเส้นผม ผิว และเล็บได้ และยังช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของผิวช่วยชะลอความแก่ และยังสร้างความชุ่มชื่นไม่ให้ผิวแห้งกร้านอีกด้วย